นั่งรถไฟรุ่นใหม่ สายอุตราวิถี เที่ยวเชียงใหม่ ขึ้นอ่างขาง พักอ่างขางวิลล่า เป็นจิตอาสาแจกขนมเด็กบนดอย

————— สวัสดีค่ะ —————-

สำหรับรีวิวนี้ เป็นรีวิว ที่จะพาไปชมรถไฟไทยรุ่นใหม่ เส้นทาง อุตราวิถี กรุงเทพ – เชียงใหม่ ไปดูไร่ชา ไร่สตอเบอรี่ และดอกไม้สวยๆ ที่ดอยอางขาง และที่สำคัญเลยคือ เราได้มีโอกาสไปร่วมแจก สิ่งของ อุปกรณ์กีฬา เลี้ยงขนม และแจกของเล่นให้กับเด็กๆ ที่โรงเรียนบ้านอรุโณทัย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กับ CPALL กันค่ะ เชิญมารับชมกันเลยนะคะ

การเดินทางของเราครั้งนี้ เริ่มต้นจากสถานีรถไฟหัวลำโพง โดยการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน มาลงที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ซึ่งแสนจะสะดวกสบาย เพราะจากสนามบินสุวรรณภูมิ ต่อแอร์พอร์ทลิ้ง ลงสถานีมักกะสัน แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาสถานีรถไฟหัวลำโพงได้เลย สะดวกสบาย ใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน

บรรยากาศภายในสถานีรถไฟหัวลำโพง
ต้องบอกก่อนว่า ตัวเราเองไม่ได้นั่งรถไฟมานาน นับได้ก็ ยี่สิบกว่าปีแล้ว (ไม่นับรถไฟทัวร์กาญจบุรี ที่ถ้ำกระแซ ที่ขึ้นลงเล่นแค่สถานีเดียว) จำความได้แบบเลือนราง ว่าเคยนั่งรถไฟไปอุบลสมัยยังเป็นเด็ก แล้วนั่งสามล้อถีบเข้าตัวเมืองอุบลราชธานี

สำรวจภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงสักพัก ก็เดินเข้าไปภายในชานชลารถไฟ บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เจอมานาน

และนี่ก็คือรถไฟขบวนที่เราจะเดินทางไป เชียงใหม่ในครั้งนี้ ใหม่เอี่ยม ทั้งด้านนอกและด้านใน รถไฟขบวนพิเศษนี้

อยู่ชานชลาที่ 4 เรียกว่า เดินเข้าประตูปุ๊บก็เจอ ขบวนรถไฟเลย

ก่อนขึ้นไปสำรวจบนรถไฟ ก็ขอสำรวจ บริเวณชานชลาสักเล็กน้อย บรรยากาศแบบอนุรักษ์ไว้ซึ่งความเป็นรถไฟไทย

รายละเอียดตารางค่าโดยสาร สามารถเข้าไปชมได้ที่เวปนี้เลยค่ะ

http://www.railway.co.th/Ticket/list_station_stop.asp?IdTrain=9

รายละเอียดและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็สามารถเข้าไปชมได้ที่เวป ของการรถไฟลิ้งนี้เช่นกันค่ะ

http://www.railway.co.th/home/115_new_train_carriages_project/index.html

มาขึ้นไปชมรถไฟขบวนพิเศษนี้กัน เริ่มจากตู้โบกี้แรก ซึ่งจะเป็น

รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 (บนอ.ป.)

Air-Conditioned First Class Day & Night Coach (ANF)

รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 1 (บนอ.ป.) จะเป็นลักษณะ ห้องส่วนตัว เหมือนในหนังต่างประเทศที่เคยดูเลย

ประตูเชื่อมต่อถึงกันระหว่างหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง

ภายในห้องโดยสารจะมีความเป็นส่วนตัว ซึ่งภายในตู้โบ้กี้ชั้น 1 นี้ จะมี สิ่งอำนวยความสะดวก

  • ห้องโดยสาร
  • ห้องน้ำ
  • ห้องปัสสาวะ
  • ห้องอาบน้ำ
  • อ่างล้างมือในห้อง
  • หลอดไฟฟ้าส่องสว่าง
  • ปลั๊กไฟ 220 โวลต์
  • จอ LED แบบ Touch Screen
  • ระบบโทรทัศน์วงจรปิด

สิ่งพิเศษที่ถูกใจทันสมัยก็คือ ประตูเปิดปิดระบบสัมผัส อัตโนมัติ เพียงใช้มือแตะไปที่ไฟสีเขียว ประตูก็จะเปิดอัตโนมัติทันที

ซึ่งเป็นประตูเชื่อมต่อไปยังแต่ละโบกี้

“รับขนมจีบซาลาเปา เพิ่มมั้ยค่ะ”

โบกี้ถัดไปที่จะพามาชมก็คือ โบกี้เสบียง

รถขายอาหารปรับอากาศ (บกข.ป.)

Air-Conditioned Restaurant Car (ARC)

ใครๆอาจคิดว่าตู้เสบียงที่อยู่บนรถไฟนี้เป็นของ 7-Eleven แต่จริงๆแล้ว เป็นตู้เสบียงของ CP Retailink ค่ะ ซึ่งก็จะมีบริการอาหาร ของว่าง เครื่องดื่ม โดยเน้นย้ำที่เครื่องดื่ม ขอบอกว่าอร่อยๆ มากๆ เพราะ CP Retaillink มาเปิดให้บริการเอง ซึ่ง CP Retailink เป็นผู้ให้บริการ จำหน่าย

  • อุปกรณ์เครื่องดื่ม เช่น เครื่องชงกาแฟ เครื่องจ่ายตู้น้ำผลไม้แบบกด เครื่องบดกาแฟ เครื่องปั่นสมูทตี้ ฯลฯ
  • อุปกรณ์เครื่องครัว เช่น เตาทอด เครื่องย่างไส้กรอก เครื่องล้างจาน เตาผัดกระทะ เป็นต้น

รวมถึงยังเป็นผู้ให้บริการ ซ่อมบำรุง อุปกรณ์เครื่องดื่ม เครื่องครัวต่างๆ และยังมีบริการอีกหลายๆ ซึ่งสามารถเข้าไปชมเวปไซด์ของ ซีพี รีเทลลิ้งค์ ได้ที่ http://www.cpretailink.co.th/

สำหรับขบวนรถไฟขบวนพิเศษนี้ จะมีโบกี้ ซึ่งรองรับคนพิการด้วยค่ะ เรียกว่า

รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 (บนท.ป.มีพื้นที่รองรับคนพิการ)

Air-Conditioned Second Class Day & Night Coach with Handicap Facility(ANSH)

ซึ่งโบกี้นี้ จะมีห้องน้ำขนาดกว้างขวางสำหรับรองรับผู้พิการซึ่งใช้รถวีลแชร์ มีที่เก็บรถวีลแชร์ด้วยค่ะ

บรรยากาศตู้โบ้กี้ชั้น 2 นั่งนอนปรับอากาศ

ที่นั่งก่อนจะปรับเป็นที่นอน

มีจอมอนิเตอร์และกล้องวงจรปิด ซึ่งจอมอนิเตอร์นี้ก็จะบอกว่าขณะนี้รถไฟ อยู่ที่ไหนแล้ว เหมือนบนเครื่องบินเลย

ห้องน้ำและอ่างล้างหน้า ที่ถือว่าสะอาดดีเชียวแหละ นับว่าเป็นรถไฟที่สะดวกสบาย และสะอาด น่าใช้บริการดีจริงๆ

สำหรับโบกี้ที่เหลือนอกจากจะเป็นโบกี้สำหรับเจ้าหน้าที่แล้ว ก็จะเป็นโบกี้
รถปรับอากาศนั่งและนอนชั้นที่ 2 (บนท.ป.)
Air-Conditioned Second Class Day & Night Coach (ANS)
  • สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน
  • ที่นั่งผู้โดยสารสามารถปรับเป็นที่นอน
  • ห้องน้ำ
  • ห้องปัสสาวะ
  • อ่างล้างมือ
  • หลอดไฟฟ้าส่องสว่าง
  • ปลั๊กไฟ 220 โวลต์
  • Monitor
  • ระบบโทรทัศน์วงจรปิด

ซึ่งโบ้กี้จะ ที่นั่งผู้โดยสารจะปรับเป็นที่นอน 2 ชั้น ชั้นล่างและชั้นบน มีห้องน้ำ และโซนอ่างล้างมือ ที่สะอาด ระบบห้องน้ำก็เหมือนห้องน้ำบนเครื่องบินกันเลย

เอาหล่ะ และแล้วก็เป็นเวลาเริ่มเดิมทางของเรา และผองเพื่อน สำหรับทริป “เชียงดาวเรื่องราวแห่งความหวัง” ซึ่งเป็นทริป ที่เราจะเดินทางไปที่อ่างขาง เพื่อเยี่ยมชม สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ไร่ชา และแปลงสตอเบอรี่ และไปเป็นจิตอาสา แจกขนม ของเล่น และทำกิจกรรมสร้างความสนุกสนาน ให้กับเด็กๆ ที่โรงเรียนบ้านอรุโณทัย

เตรียมกล้องพร้อมออกเดินทาง

เวลา 18.00 น. ก็เป็นเวลาที่รถไฟเริ่มออกเดินทาง หันซ้ายหันขวา หันไปเจอเพื่อนร่วมทริปแสนสวยแสนน่ารัก ช่างคุย มีเสน่ห์

สักพักก็เริ่มแจกน้ำให้คนละ 1 ขวด

ทริปนี้ เราได้อาหารญี่ชุดเบนโตะเป็นมื้อเย็น ของโออิชิ อันนี้ไม่เกี่ยวกับโออิชิ เค้าไม่ได้สปอร์นเซอร์น๊าาา

ส่วนน้ำ ลืมถ่ายมาให้ชม เป็นน้ำแสนอร่อย จากตู้เสบียง

กินอิ่มสักพัก เราก็เริ่มทำกิจกรรมกัน โดยมี บัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ. ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น มากล่าวต้อนรับ และชี้แจงรายละเอียดการเดินทางให้กับเราในครั้งนี้ค่ะ

จากนั้นก็คือ น้องเสี่ยวฟาง ที่ร่วมทริปเดินทางไปกับเราในครั้งนี้ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักน้องเสี่ยวฟาง ลองเข้าไปชมบทสัมภาษณ์ ของน้องเสี่ยวฟาง ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=RtjJbQxLGWI ซึ่งน้องเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ Good Morning Thailand เรื่อง “เสี่ยวฟาง” ต้นแบบการต่อสู้เพื่อการศึกษา ประวัติคร่าวๆ คือ น้องเสี่ยวฟาง แซ่หยั่ง เป็นเด็กดอย จากหมู่บ้านอรุโณทัย ที่ใครๆคงคุ้นหูกันมาบ้าง หากเคยมาเที่ยวเชียงใหม่ บ้านอรุโณทัย เป็นหมู่บ้านชาวจีนอพยพ ที่อยู่ระหว่างทางขึ้นดอยอ่างขาง ซึ่งปัจจุบันนี้ น้องเสี่ยวฟาง เรียนจบปริญญา แล้วจากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ แถมตอนนี้ยังทำงานที่คิงพาวเวอร์ แล้วด้วยค่ะ ในทริปนี้ น้องเสี่ยวฟาง จะมาเล่าประวัติชีวิตการศึกษา ให้พวกเราฟัง เมื่อได้ฟังแล้วบอกได้เลยว่าการศึกษา สามารถพัฒนาชีวิต ให้ดีขึ้นได้จริงๆ ค่ะ

หลังจากทำกิจกรรม ร่วมสนุก เล่นเกมส์ กันบนรถไฟมหาสนุกแล้ว ก็เป็นเวลานอน เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ จะมาบริการ ปูเตียงให้

บรรยากาศการปูเตียง จากที่นั่ง แปลงร่างกลายเป็นที่นอน แป๊บเดียว ก็นอนได้แล้ว

ที่นอนของเราในคืนนี้ ที่นอนเราคืนนี้ เรานอนชั้นล่าง ส่วนชั้นบน ก็จะมีบันได ปีนขึ้นปีนลง นอนสบาย มีหมอน มีผ้าห่มให้ แต่รู้สึกว่า ผ้าห่มจะบางไปนิด ตอนดึกๆ เราเลยต้อง ล้วงเอาเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ๆ ที่เตรียมมา เอาออกจากกระเป๋ามาใส่ เลยรู้สึกอุ่นขึ้นมาหน่อย

แต่พอกางที่นอนเสร็จแล้ว พลิกไป พลิกมา ยังไม่ง่วงเลย เลยชวนกันไปเดินเล่น ดูบรรยากาศบนรถไฟดีกว่า โดยจุดหมายของเราคือการไปที่ตู้เสบียงนี่เอง พอถึงตู้เสบียงก็เลย นั่งคุยกัน กับเพื่อนๆ ที่มาอยู่ที่ตู้เสบียงกันก่อนแล้ว นั่งไปนั่งมาเลย เลยสั่ง ไก่ย่างเขาสวนกวางมาแบ่งกินกัน เพราะเห็นว่าเป็นของดี ของเด็ด ประจำรถไฟขบวนพิเศษนี่เลย รสชาติอร่อยเหมือนเพิ่งย่างออกจากเตาใหม่ๆ กินกับข้าวเหนียวก่อนนอน อิ่มอร่อย สบายท้อง

กินไก่ย่างเขาสวนกวางเสร็จ นั่งคุยกันสักพัก ไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยาม แต่คิดว่าสมควรเวลากลับที่ กลับทางได้เลย ก็เลยเดินชมบรรยากาศผ่านโบกี้อื่นๆ ก็ปิดม่านกันเรียบร้อยแบบนี้

ตัดมาตอนเช้า นี่ก็สว่างแล้ว เจ้าหน้าที่มาเก็บที่นอนให้เรียบร้อย

บรรยากาศตู้เสบียงยามเช้า มาสั่งกาแฟ โอวัลตินร้อนๆ สบายท้อง

นั่งชมบรรยากาศข้างทางยามเช้าไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ ตามกำหนดการ ไม่มีเลท ไม่มีช้า

ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ

บรรยากาศยามเช้า สถานีรถไฟเชียงใหม่ อากาศเย็นๆยามเช้า คนไม่เยอะเท่าไหร่ กำลังสบายๆ เพราะรถไฟขบวนพิเศษ จะเป็นขบวนที่เร็วที่สุดในการเดินทาง พิเศษกว่าขบวนอื่นๆ เพราะจะแวะสถานีสำคัญๆเท่านั้น

จากรถไฟ เปลี่ยนเป็นรถตู้มุ่งหน้าดอยอ่างขาง แต่ก่อนไปดอยอ่างขางแวะร้านข้าวมันไก่เกียรติโอชา กินข้าวมันไก่มื้อเช้ากันก่อน

นั่งรถตู้ใช้เวลาเดินทางจากเชียงใหม่อืมมมม นานแค่ไหนเราก็ไม่ได้นับ นั่งชมวิวข้างทางมาเรื่อยๆ หลับบ้าง เม้าท์กันบ้าง จนถึงดอยอ่างขาง แต่ส่วนมากเราจะหลับซะมากกว่า พอถึงดอยอ่างขางก็เป็นเวลามื้อเที่ยง เลยแวะทานอาหารที่ร้านถิงถิง เป็นร้านที่อยู่หน้าอ่างขางวิลล่า ซึ่งเป็นที่พักของเราคืนนี้

หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้วก็รับกุญแจห้องเพื่อเก็บกระเป๋าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้อาบน้ำเลย………มาชมบรรยากาศของ อ่างขางวิลล่า รีสอร์ท กัน อ่างขางวิลล่า หลายๆคน ถ้าคิดจะมาอ่างขาง น่าจะเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพราะเป็นรีสอร์ทที่เปิดให้บริการมานานแล้ว ส่วนตัวเราไม่เคยมาพัก เพิ่งมาพักที่นี่เป็นครั้งแรก ปกติถ้ามาอ่างขาง จะต้องวางแผนยาวๆๆๆ ทำให้เราได้พักที่ รีสอร์ทธรรมชาติอ่างขางตลอด เพราะถ้าจะพักที่รีสอร์ทธรรมชาติอ่างขาง หรือ พักในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ถ้าจะมาช่วงหน้าหนาว จะต้องจองกันนานมากๆ เราเคยจองในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง พักเดือนธันวาช่วงวันหยุดยาว เราจองตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม กันเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าใครจะจองห้องพักที่สถานีเกษตร รู้สึกว่า จะต้องดูช่วงเวลาที่ให้เปิดจอง เคยดูใน แฟนเพจ ของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จะประกาศแจ้งกำหนดวันเปิดรับจอง หากใครสนใจ จะจองไปพักปลายปีนี้ ก็ลองติดตามดูหน้าแฟนของสถานีหลวงอ่างขางดูนะค่ะ

อ่างขางวิลล่า จะเป็นรีสอร์ท ที่ต้องเดินขึ้นเนิน สูงพอสมควร แต่ไม่ต้องห่วงเค้าก็จะมีรถรับส่งสำหรับคนที่ไม่สะดวก เดินขึ้นเนินก็ไม่เท่าไหร่ แค่หอบนิดหน่อย 5555 ส่วนกระเป๋าตอนขึ้นเราไม่ได้แบกกระเป๋าขึ้นเอง มีรถแบกมาส่งหน้าที่พักเลย

ห้องพักที่เราพักคืนนี้เป็นแบบนี้จ้า ห้องพักก็สะอาดดี พอใช้ได้ ไม่คิดมากแค่คืนเดียว ทีวีก็ไม่ค่อยดู นั่งเล่นแต่โทรศัพท์ กับนั่งคุยกันกับเพื่อนๆ นานๆจะเจอกัน เลยเม้าท์มอยส์กันเพลิน จึงไม่ค่อยได้ดูทีวี ห้องที่เราได้เป็นห้องพักตึกแดงๆ ตึกที่อยู่ด้านหลังตามรูปด้านบนค่ะ

อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย พักผ่อนนิดหน่อย ก็เกือบจะได้เวลาที่นัดกันไว้ เลยลงมาสำรวจบรรยากาศร้านค้า หน้าโรงแรมสักหน่อย

ร้านขายน้ำ มีทั้งน้ำโสม น้ำเก็กฮวย น้ำขิง เราชอบน้ำขิงบนดอยอ่างขางมากที่สุด มาทีไรก็ต้องซื้อ อากาศหนาวๆ น้ำขิงร้อนๆเผ็ดๆ ช่วยแก้หนาวดี ขอบอกว่าวันที่เราไปนี้เป็นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศบนดอยอ่างขางหนาวมากๆ กลางวันก็หนาว

ภาพนี้ ขอแอบถ่าย เพื่อนร่วมทริป สาวสวย น่ารัก เห็นแล้วสะดุดตา เลยต้องถ่ายรูป 55555

บรรยากาศร้านค้าหน้าที่พัก

เริ่มทริปบนดอยอ่างขางวันนี้ ด้วยการชมแปลงดอกไม้ภายในสถานีเกษตรหลวง

มีเจ้าหน้าที่จากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง มาถ่ายทอดความรู้ให้เราฟัง แต่ช่วงนี้ เจ้าหน้าที่พี่เค้าคิวทอง อิ อิ …. เพราะมีหลายองค์กรมาที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง พี่เค้าก็เลยต้องรีบไปต้อนรับ เลยได้ฟังพี่เค้าอธิบายได้ไม่นาน พี่เค้ามีงานต้องไปทำต่อ แอบเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ถ่ายทอดความรู้ต่างๆเกี่ยวกับสถานีเกษตรหลวงอ่างขางให้เราได้เยอะแยะมากมาย

เราเคยมีคำถามในใจอย่างนึงว่า ทำไม น๊าาา >>> โครงการหลวงจะต้องอยู่แต่บนเขาแบบนี้>>>> คำตอบที่ได้ก็สั้นๆ เพราะว่า “เป็นแหล่งต้นน้ำที่ต้องอนุรักษ์ไว้” อืมม…..จริงๆด้วย ไม่อย่างนั้นป่านนี้ไม่รู้ ว่าป่าเขาบริเวณแหล่งต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ จะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะป่าคือแหล่งน้ำ น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้ จะไหลลงไปรวมเป็นแม่น้ำ เป็นน้ำให้คนได้อาศัยเป็นน้ำกินน้ำใช้ อย่างทุกวันนี้

"ขณะที่เรา นั่งกินน้ำอยู่ตรงนี้ น้ำบนภูเขา กำลังผุดๆๆๆ และไหลลงมาเรื่อยๆ มาบรรจบที่แม่น้ำ
 จากภาคเหนือ สู่ภาคกลาง สู่คลองประปา ผ่านกระบวนการผลิตน้ำประปา ส่งไปตามท่อน้ำ 
 จนถึงก๊อกน้ำ ที่บ้านของเรารอให้เราไปเปิดน้ำกิน น้ำใช้ต่อไป"

จริงๆแล้ว มีข้อมูลความรู้มากมายเกี่ยวกับ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งทุกๆคน สามารถเสริชข้อมูลได้ มีหลายๆแหล่งได้ให้ความรู้เอาไว้ และจากแหล่งความรู้ ที่เราได้อ่าน ได้ศึกษามา จากแหล่งให้ข้อมูลต่างๆ ทำให้เราได้ทราบว่า สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เป็นโครงหลวงแห่งแรก ซึ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ยังได้มีโครงการหลวงอื่นๆ อีกหลายๆโครงการ เป็นผล ทำให้ประเทศไทยของเรา มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม เป็นแหล่งให้ความรู้ของเกษตรกร และประชาชนทั่วไป เพราะเป็นศูนย์ทดลองและวิจัย ปลูกพืชผัก ผลไม้ต่างๆ

ใครจะคิดบ้างว่า ผลไม้ เมืองหนาวต่างๆ อย่างเช่น ลูกพลับ สตอเบอรี่ อโวคาโด้ ลูกพีช ผักสลัดเมืองหนาวต่างๆ เช่นผักกาดแก้ว เป็นต้น ที่ในสมัยเด็กๆ ผลไม้เมืองหนาวเหล่านี้ คนไทยถ้าอยากจะทาน จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาแพงมาก

ตอนเด็กๆ ยังจำฝังใจได้ว่า เพื่อนเราคนนึง ครอบครัวมีฐานะดี เอาลูกพลับมาโรงเรียน ประมาณสองสามลูก แล้วคุณครู เอามาแบ่งให้เพื่อนๆทุกๆคนในห้องกินกันโดยแบ่งเป็นเสี้ยวเล็กๆ แบ่งกันคนละชิ้น ครูบอกว่ามันแพงมากๆ เวลาเราเห็นผลไม้ในซุปเปอร์มาเก็ตสมัยเด็กๆ เช่นแอปเปิ้ล สาลี่ ก็โอโห ทำไมแพงจัง ก็กินมะม่วง กินเงาะ กินมังคุด ซิ ไม่เห็นแพง แต่ปรากฏว่า ปัจจุบัน ผลไม้เมืองหนาวเหล่านี้ เป็นผลไม้ที่คนไทยสามารถหาซื้อหารับประทานกันได้ง่ายๆ ตามตลาดทั่วๆไป อย่างเช่นเมื่อวานนี้เราเพิ่งซึ่ง สตอเบอรี่ ตลาดแถวบ้านในราคาถุงละ 40 บาท เท่านั้น ประมาณครึ่งโล แต่มะม่วง เงาะ มังคุด ลองกอง ของไทยเรา กลายเป็นของแพง สำหรับต่างชาติบางประเทศไปซะแล้ว

ขอนอกเรื่องนิดนึง 5555 วันก่อน มีชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง มาตีกอล์ฟที่สนอมกอล์ฟ ใกล้ๆบ้านเรา ก่อนกลับเค้าแวะตลาดนัดแถวบ้าน เจอแม่ค้าขายมะม่วงแก้วขมิ้นห่ามๆเหลืองๆ กึ่งสุกกึ่งดิบ หวานๆอมเปรี้ยว แม่ค้าให้เค้าลองชิมชิ้นนึง เค้าถามราคา โลละ 30 บาท เท่านั้นแหล่ะ เค้าเหมาะมะม่วงไปยกเข่ง แม่ค้าก็ดีใจมากเพราะวันนั้นแทบไม่ต้องทำไรเลย ขายมะม่วงหมดเลย เป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั้งตลาด แม่ค้ายังมาแอบคุยกับเราว่ารู้งี้ เอามาเยอะกว่านี้ก็ดี 5555 แม่ค้าบอกเราว่า ไกด์เค้าบอกว่า มะม่วงราคาถูกมาก และรสชาติอร่อย เค้าไม่ค่อยได้กินรสชาติแบบนี้ เลยขอซื้อหมดเลย

บรรยากาศของสวน 80 ซึ่งเต็มไปด้วยหมู่มวลดอกไม้สีสันต่างๆ เป็นสวนที่สวยงามตลอดทั้งปี ไม่เคยว่างเว้นจากบรรดาดอกไม้นานาพรรณ ไม่ว่าจะมาดอยอ่างขางเมื่อไหร่ จะฤดูท่องเที่ยว หรือไม่ ก็จะมีดอกไม้ออกดอกบานสวยงามแบบนี้สับเปลี่ยนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสความสวยงามอยู่เสมอๆ แบบว่าสวยงามมากๆๆ เราก็เดินถ่ายรูปแล้ว ถ่ายรูปอีก มีแต่ดอกไม้สวยๆเต็มไปหมด

บรรยากาศหน้าสโมสรอ่างขาง หรือจริงๆ ก็หน้าสวน 80 จะมีแม่ค้าชาวเขา มาขายของอยู่ด้านหน้า บริเวณนี้ เพื่อนๆในทริปเรา ซื้อ สตอเบอรี่มา 2 ถุง 50 บาท เท่านั้น

จากสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เราก็เดินทางมาที่ไร่ชา 2000 เป็นอีกจุดหนึ่งที่อยากให้มาสัมผัสความงดงาม ของไร่ชาที่ปลูกลดหลั่นไปตามเทือกเขา แปลงชาขั่นบันได ที่เชื่อได้ว่า หากใครมาไร่ชา 2000 ต้องอดใจไม่ไหวที่จะต้องถ่ายรูป selfie และ Check in อวดความงดงามของไร่ชา บนโลกโซเชียล อย่างแน่นอน

ไร่ชา 2000 จุดนี้จะเป็นจุดชิมชา ชิมชาไป ก็ชมวิวไร่ชาไป หลายๆคน มาแล้วก็ต้องถ่ายรูปกันที่มุมนี้ เพราะว่าวิวสวยมากๆ

จากร้านชา ก็ต้องเดินลงไปด้านล่างซึ่งเป็นไร่ชาเบื้องล่าง ระหว่างทางก็บรรยากาศแสนสวยงาม อากาศเย็นๆ เดินสบายๆ ไม่รู้สึกร้อนหรือเหนื่อยเลย

มองย้อนขึ้นไปด้านบนจะเห็นร้านน้ำชา อยู่ด้านบน กับกังหันใบใหญ่ๆ

แชะ ภาพวิวสวยๆ ได้ตลอดทาง

พอเดินมาถึงด้านล่าง ก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึกของชาวเขา

นอกจากของที่ระลึกก็จะมีอาหารเครื่องดื่ม ของทานเล่น ไว้คอยบริการ โดยเฉพาะฤดูสตอเบอรี่ สามารถแวะซื้อได้จากตรงนี้เลย ราคาไม่แพง เพราะตอนแรกเราว่าจะไปซื้อที่ไร่สตอเบอรี่ ปรากฏว่า ไร่สตอเบอรี่ไม่มีสตอเบอรี่ขายเลย สงสัยจะไปถึงเย็นเกิน ซื้อตรงนี้ ถุงละ 30 บาท เท่านั้น

วิวสวยๆของไร่ชา มองมุมไหนก็สวยจริงๆ

จากไร่ชา เราก็เดินกลับ 55555 เนื่องจากรถตู้คันของเรา ลุงคนขับอยากให้คนในรถออกกำลังกายกัน สมาชิกในรถตู้ของเราเลยต้องเดินขึ้นจากไร่ชา มาด้านบน 55555 หอบบบบบบบ ……… ตอนเดินนลงอ่ะไม่เหนื่อย แต่ตอนเดินขึ้นนี่ซิ หมดไปหลายแคล.

จากปากทางงไร่ชา 2000 เราก็มาที่ไร่สตอเบอรี่กัน เนื่องจากรถของเรามาเป็นคันสุดท้าย คันอื่นกลับไปหมดแล้ว 55555 เลยได้เก็บภาพไร่สตอเบอรี่ โล่งๆ สวยๆแบบนี้

คุณยายชาวเขากำลังเดินขึ้นมาจากไร่ด้านล่าง ท่าทางคนที่นี่จะแข็งแรงกันน่าดู เดินขึ้นเดินลงทุกวัน

เนื่องจากเรามาไร่สตอเบอรี่ ก็ตอนเย็นแล้ว สตอเบอรี่สีแดงๆ แบบพร้อมทานเลยไม่มีขาย ที่ต้นก็จะเป็นสตอเบอรี่ ยังไม่สุก แต่เห็นไม่สุกแบบนี้ ตอนเช้าก็พร้อมเก็บได้ทันที เพราะปกติแล้ว เวลาเก็บสตอเบอรี่ ส่วนมากเจ้าของไร่สตอเบอรี่ ไม่ว่าไร่ไหนๆ ก็จะเก็บตั้งแต่เช้าแล้ว

บรรยากาศยามเลิกงานของพี่ๆชาวเขา เค้าก็มานั่งคุยกัน ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ วิวก็สวย อากาศก็สบาย น่าอิจฉา เรื่องอากาศ อากาศดีๆแบบนี้ คงจะแข็งแรงกันน่าดู

ก่อนกลับ ก็ขอแวะถ่ายป้ายสุดเขตแดนสยามสักหน่อย ภูเขาลูกโน้น ก็ไม่ใช่ดินแดนไทยแล้ว

จากไร่สตอเบอรี่กลับมาถ่ายรูปกันต่อที่สวนแถวๆหน้าโครงการหลวงฯ เสียดายที่ทริปนี้เราไม่ได้ถ่ายรุปดอกซากุระไว้เลย นั่นซิ ทำไมไม่ถ่าย หว่า? ยังถามตัวเองอยู่จนถึงตอนนี้ มัวทำไรอยู่

โดมดอกกุหลาบ มีดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธ์ ให้เดินชม ส่วนตัวเราว่า ถ้าจะจัดให้สวยๆ เหมือนโครงการหลวง ห้วยผักไผ่ ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย

ถ่ายรูปหน้าโครงการหลวงกันสักพัก ก็เป็นเวลาไปพักผ่อน เพื่อที่ว่าคืนนี้จะมีปาร์ตี้กัน ที่อ่างขางวิลล่า จะมีพื้นที่ก่อกองไฟ ให้นั่งผิงไฟ พร้อมจัดปาร์ตี้เล็กๆ ให้ด้วยค่ะ

ตัดมาที่บรรยากาศยามเช้า ของดอยอ่างขาง อุณภูมิเข้านี้ ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่ แต่อากาศหนาวมากๆเลยค่ะ นานๆจะเจออากาศแบบนี้สักครั้ง

ลงจากที่พัก ก็เดินผ่านถนนเล็กๆนี้อีกหน่อยนึง ก็ถึง ทางเข้า ห้องอาหาร และ ล๊อบบี้ ของอ่างขางวิลล่า

เราเดินมาชื่นชมบรรยากาศยามเช้าสัมผัสอากาศเย็นๆ เดินตากแดดให้ตัวอุ่นๆกันที่บริเวณหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

ด้านหน้าจะมีป้ายแสดงอุณหภูมิของวันนี้ หนาวสุดอยู่ที่ 5.5 องศา ยอดหญ้า 1.5 องศา

เดินชมตลาดยามเช้าอีกเล็กน้อย

ตลาดหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จะมีตลาดขายของเกือบทั้งวัน เป็นสินค้าของฝาก ผักผลไม้ปลอดสารพิษ บ้าง อัลมอนด์ แมคคาเดเมีย และก็เห็ดหอมต่างๆ ตลาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็เดินสนุกดี

อาหารเช้านี้ที่อ่างขางวิลล่า มีชา กาแฟ โอวัลติน ข้าวต้ม ขนมปังไข่ดาว ต่างๆ เหมือนอาหารเช้าที่มีบริการในโรงแรมทั่วๆไป

ทางเข้าบ้านเสี่ยวฟาง

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จก็เก็บกระเป๋าขึ้นรถ เดินทางกันต่อ จุดหมายต่อไปที่เราเดินทางไปคือบ้านอรุโณทัย ไปทำความรู้จักกับครองครัวของน้องเสี่ยวฟาง แซ่หยัง

เสี่ยวฟาง แซ่หยัง เป็นสาวน้อยเกิดและเติบโตจากหมู่บ้านอรุโณทัย หากใครเคยไปเที่ยวดอยอ่างขาง แล้วนั่งรถขึ้นอ่างขางทางไชยปราการ ก็จะต้องผ่านหมู่บ้านอรุโณทัยซึ่งครั้งอดีต เคยเป็นหมู่บ้านชาวจีนที่ได้อพยพมาอยู่อาศัยในประเทศไทย ในปัจจุบันประชากรในหมู่บ้านอรุโณทัย ก็ยังเป็นชาวจีนที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอด ยังมีวัฒนธรรมจีนให้เห็นโดยทั่วไป คนในหมู่บ้านยังคงพูดภาษาจีนกันเป็นหลัก เราเคยนั่งรถผ่านก่อนขึ้นดอยอ่างขาง ผ่านหมู่บ้านอรุโณทัยทีไร เหมือนหลุดเข้าไปในหมู่บ้านชาวจีนทุกครั้ง

ครอบครัวของเสี่ยวฟาง

ครั้งแรกที่เห็นเสี่ยวฟาง เราไม่คิดว่าเธอ จะเป็นเด็กดอย เธอเหมือนเด็กกรุงเทพทั่วๆไป ที่มาร่วมทริปกับเราในครั้งนี้ เพราะปัจจุบันเสี่ยวฟาง เรียนจบปริญญาตรี จากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และได้ทำงานอยู่ ที่ King Power ซึ่งในแต่ละเดือนยังสามารถส่งเงินกลับมาให้กับทางบ้านได้อีกด้วย

เสี่ยวฟาง แซ่หยัง เป็นต้นแบบของเด็กดอยคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้ทางด้านการศึกษา แม้ว่าเธอเลือกเกิดไม่ได้ แต่เธอเลือกที่จะหาโอกาส และสร้างโอกาสให้กับตัวเองเธอเองได้ ส่วนหนึ่งก็คือความไม่ย้อท้อ ต่ออุปสรรค และชีวิต

เธอเล่าให้ฟังว่า เธอเป็นลูกสาวคนโตมีสมาชิกทั้งหมดในบ้าน 6 คนคือพ่อแม่และน้องๆ ครอบครัวเธอมีฐานะยากจนเธอจึงต้องช่วยงานพ่อแม่โดยการทำไร่บนดอยตั้งแต่เล็กๆ รายได้ในแต่ละวันก็ได้ไม่มาก แต่ด้วยความที่เป็นเด็กขยัน และรักการเรียน เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนหนังสือให้จบชั้นมัธยม และอยากที่จะไปเรียนต่อ แต่ด้วยครอบครัวมีฐานะยากจน และขาดแคลนทุนทรัพย์ เธอจึงได้ปรึกษากับอาจารย์ที่โรงเรียนถึงเรื่องการเรียนต่อหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา อาจารย์ที่โรงเรียนจึงแนะนำให้ รู้จักกับสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือ PIM ซึ่งมีทุนการศึกษาให้ คือ

กองทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ หรือ PIM SMART

ทุนการศึกษาที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มพันธมิตรคู่ค้าทางธุรกิจ และบุคคลทั่วไป ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนส่งเสริมเยาวชนไทย ให้ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีระหว่างการศึกษา ซึ่งมีทุนการศึกษาให้กับเยาวชนไทย ที่รักการเรียน รักอนาคต มีความตั้งใจและมีความอดทน มากกว่า 1000 ทุน

ถึงตอนนี้ เลยอยากจะขอแนะนำ ให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านได้รู้จัก กับสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ หรือ Panyapiwat Institute of Managemen หรือเรียกย่อๆ ว่่า PIM

สถาบันปัญญาภิวัฒน์ หากใครได้ยินชื่อแล้วคงจะนึกถึงว่า เรียนจบแล้วต้องทำงานเป็นพนักงาน เซเว่นอย่างเดียว ซึ่งความจริงแล้วไม่จำเป็นเลย มีหลายคนๆ ที่จบจากสถาบันปัญญาภิวัฒน์ ไปทำงานให้กับบริษัทอื่นๆ เช่นเสี่ยวฟาง ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ คิงพาวเวอร์ บางท่าน ทำงานที่การบินไทย บางท่าน เปิดธุรกิจส่วนตัวและนำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาปรับใช้กับกิจการของตนเอง บางคนไปเป็นผู้จัดการเซเว่นในต่างประเทศ แต่หลายๆคนก็ได้ทำงานให้กับ CPALL ในตำแหน่งใหญ่และมั่นคง

สถาบันปัญญาภิวัฒน์ จะเน้นการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฏีพร้อมปฏิบัติงานจริง

นั้นหมายความว่าใครจะมาเรียนที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จะได้เรียนไปด้วยพร้อมกับฝึกงาน ทำงานจริงไปด้วย เพราะจะต้องฝึกงานกันตั้งแต่ชั้นปี ที่ 1 ได้ประสบการณ์การทำงานเต็มๆ ทำให้เมื่อจบการศึกษาได้รับปริญญาตรีแล้ว จะถือว่าผ่านประสบการณ์การทำงานมาแล้ว สามารถทำงานในสาขาที่เรียนได้อย่างเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับของหลายๆองค์กรณ์ ในส่วนของค่าเทอม หากจ่ายเอง 100 เปอร์เซ็นต์ก็จะอยู่ในหลักหลายหมื่น เพราะเป็นสถาบันการเรียนของเอกชน แต่เนื่องจากทางสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จะมีการเปิดสอบให้ทุนทางการศึกษาสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจ ขยันอดทน ทำให้นักศึกษาหลายๆ คน ได้ทุนการศึกษา ได้เรียนโดยไม่เป็นภาระทางด้านการเงินให้กับทางบ้านและครอบครัว นอกจากการเรียนแล้ว ยังมีรายได้จากการฝึกงานในช่วงที่ฝึกงานในแต่ละเดือน อีกด้วย เมื่อจบแล้วยังมีงานทำที่ดี เพราะสามารถทำงานในเครือ CP ได้เลยซึ่งเครือ ซีพี ก็มีธุรกิจมากมายหลายอย่างไม่ใช่เฉพาะแค่ เซเว่น เท่านั้น ฐานเงินเดือน เท่าที่ทราบมา ก็สูงไม่ใช่เล่น พร้อมสวัสดิการดีอีกด้วย

สถาบันปัญญาภิวัฒน์เปิดสอนทั้งในระดับ ปวช. ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมถึงหลักสูตรนานาชาติอีกด้วย

โดยจะแบ่งดังนี้
วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์

ซึ่งจะสอนในระดับ ปวช.ซึ่งหลักสูตรที่เปิดสอนในระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ปวช. มี 2 หลักสูตร คือ

1 สาขาธุรกิจค้าปลีก ซึ่งสามารถรับทุนการศึกษาาได้ตลอดหลักสูตร โดยจะเน้นสอนในเรื่องการบริหารธุรกิจค้าปลีก อย่างครอบคลุมครบวงจร ซึ่งวิชาที่สอนยกตัวอย่างเช่น บัญชี การขาย คอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ ศิลปะการขายการจัดแสดงสินค้า การบริหารงานคุณภาพและเพิ่มผลผลิต เรียนในระบบทวิภาคี กับสถานประกอบการ เซเว่นอีเลฟเว่น

2 . หลักสูตร ไฟฟ้ากำลัง เรียนรู้งานไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ การควบคุม เครื่องกลไฟฟ้า งานระบบเครื่องทำความเย็นและปรับอากาศระบบคอมพิวเตอร์เบื้องต้น รวมถึงงานบัญชี เรียนในระบบทวิภาคี กับ บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด

รายละเอียดต่างๆ ในส่วนอื่นๆ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียด การรับสมัคร หรือ ทุนการศึกษา ได้ที่ http://www.panyapiwat.ac.th/index.php


สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ซึ่งมีการเรียนการสอนในหลักสูตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก หลักสูตรภาษาอังกฤษ รวมทั้งยังมีหลักสูตรระยะสั้นสำหรับฝึกอบรมอีกด้วย

คณะที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี มีด้วยกันหลายคณะ เช่น

1 คณะบริหารธุรกิจ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี 3 คณะการจัดการธุรกิจอาหาร 4 คณะศิลปศาสตร์ 5 คณะนิเทศศาสตร์ 6 คณะวิทยาการจัดการ 7.คณะนวัตกรรมการจัดการ 8.คณะศึกษาศาสตร์ 9.คณะอุตสาหกรรมการเกษตร 10 คณะการจัดการโลจิสติกและการคมนาคมขนส่ง 11 วิทยาลัยนานาชาติ 12 วิทยาลัยบัณฑิตศึกษา เป็นต้น

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ http://www.pim.ac.th/

เท่าที่ได้ศึกษา หาข้อมูลการเรียนการสอนของ สถาบันปัญญาภิวัฒน์แล้ว บอกเลยว่าน่าเรียนมากๆ เหมาะกับคนที่ต้องการเรียนไปทำงานไป ได้เรียนพร้อมรับประสบการณ์จริงๆจากการทำงาน จบแล้วมีงานทำ นับว่าเป็นสถาบันที่สงเสริมด้านการศึกษา ให้กับคนทุกๆคนได้มีโอกาสทางการศึกษา โดยไม่แบ่งชนชั้น ทุกคนเรียนแล้วต้องทำงานได้จริง ได้ฝึกฝนจนชำนาญ พร้อมที่จะทำงานได้จริงเมื่อจบการศึกษา แต่ก็ต้องขอเน้นย้ำว่า สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เหมาะกับนักศึกษา ที่มีความขยันอดทน ตั้งใจเรียน เพราะว่าจะต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หนักและเหนื่อยของนักศึกษาบางคน จึงเหมาะกับคนที่ใจพร้อม และมีใจรักที่จะทำงานพร้อมเรียน ขยันมองอนาคตข้างหน้าและจริงจังกับชีวิต กิจกรรมต่างๆ อาจจะไม่ได้มีมากมายเหมือนสถาบันอื่นๆ ที่คุ้นชินกันมา

หลายๆคนเมื่อได้ยินคำว่าปัญญาภิวัฒน์ จะนึกถึงแต่เรียนแล้วทำงานเป็นพนักงานเซเว่น สถาบันฯนี้สอนให้เป็นพนักงานเซเว่น ซึ่งหากได้ศึกษา และทำความเข้าใจไม่เพียงแค่รู้ผ่านๆ จะเข้าใจว่าไม่ได้ทำงานเป็นพนักงานเซเว่นอย่างเดียว ยังมีอีกหลายองค์กรณ์ ที่นักศึกษาได้ไปฝึกปฏิบัติงานจริง เพราะระบบการเรียนการสอนจะออกแนวเป็นทฤษฏีที่แตกต่าง คือเน้นปฏิบัติงานจริง ไปพร้อมกับการเรียนทฤษฏี ไม่ได้เน้นท่องตำราคร่ำเคร่งกับตำราแล้วไปสอบอย่างเดียว บางคนเวลาไปฝึกงานจริง (ที่องค์กรณ์การบินแห่งหนึ่งเพราะเรียนสายเกี่ยวกับการบิน) จึงรู้ถึงสิ่งที่ต้องทำ ก็กลับมาอ่านตำราเรียน แล้วเอากลับไปใช้กับงานที่ทำได้ทันที

ส่วนเรื่องการฝึกงานซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เท่าที่ทราบ แน่นอนว่าต้องมีการไปฝึกงานเป็นพนักงานเซเว่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะฝึกงานที่เซเว่นตลอดจนเรียนจบ ขึ้นอยู่กับสายคณะที่เรียน บางคนไปฝึกงานในโรงแรมเครือใหญ่ บางคนก็ฝึกงาน กับ true บางคนฝึกงานกับบริษัทสายการบินของประเทศไทย บางคนไปฝึกงานกับ สำนักข่าวในประเทศไทย ได้ปฏิบัติจริงเรื่องงานข่าว นี่เป็นเพียงแค่ข้อมูลบางส่วนที่ได้ศึกษามา จากนักศึกษาาที่ได้ไปฝึกงานจริงๆกับองกรณ์ใหญ่ๆ ยังมีอีกหลายบริษัท ที่ได้ให้นักศึกษาจากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ได้ไปฝึกงาน แล้วลองคิดดู ถ้าได้ฝึกงานกับองค์กรณ์ใหญ่ๆ เหล่านี้ เมื่อจบออกมา คุณจะได้ทำงานที่ไหน และตอนนี้เท่าที่ทราบ สถาบัน PIM ยังมีโครงการฝึกงานกับต่างประเทศอีกด้วย หากหลุดกรอบเดิมออกมาได้ จะพบว่าเป็นสถาบันฯที่น่าเรียนจริงๆ ค่ะ

เสี่ยวฟาง จึงเป็นเด็กคนหนึ่งที่ได้โอกาสทางการศึกษา จาก PIM SMART ของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) โดยช่วงเวลาที่ได้เข้ามาเรียน ที่ PIM นั้น นอกจากเสี่ยวฟางจะได้ทุนเป็นค่าการศึกษาให้แล้ว ด้วยความที่การที่ต้องจากบ้านมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิต เธอจึงได้ขอทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ของ สถาบันฯ มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งทุนนี้เป็นทุนให้เปล่า ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของนักศึกษา ทำให้เมื่อมาเรียนที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์แล้ว เสี่ยวฟางจะมีรายได้จากการฝึกงานในช่วงที่ฝึกงาน และในช่วงที่ไม่ได้ฝึกงาน เธอก็ยังมีทุนของ PIM มาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน กว่าที่จะผ่านชีวิตการเรียนมาได้ เธอบอกว่าหนักและเหนื่อย อยู่บ้าง แต่เมื่อจบแล้ว ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปมาก ยังมีคำพูดติดตลก ที่ได้ฟังแล้วก็ขำๆ คือ ถ้าไม่ได้ไปเรียนที่ PIM ป่านนี้คงมีลูกไปแล้ว 2 คน 5555 และเมื่อถามถึงอนาคต เธอยังบอกอีกว่า ถ้ามีโอกาส เธอก็ยังอยากจะเรียนต่อให้สูงกว่านี้

นับว่า เสี่ยวฟาง แซ่หยั่ง สาวน้อยผู้น่ารักจากบนดอยหมู่บ้านอรุโณทัย เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของบุคคล ที่ไม่ย่อท้อทางการศึกษา เพราะการศึกษา คือหนทางและแสงสว่างแห่งอนาคต การศึกษาคือใบเบิกทางของโอกาส โอกาสอาจไม่ได้มีมาได้ง่ายๆ ไม่ได้บินมาเคาะประตูบ้านสำหรับใครบางคน ตัวเราเองนี่แหละที่ต้องค้นคว้าหาโอกาสให้กับตัวเองให้ได้ และเมื่อโอกาสมาหาเราแล้วก็ต้องรีบโดดเกาะ เจ้าโอกาสเอาไว้

ซึ่งนอกจาก เสี่ยวฟางแล้ว ปัจจุบันยังมีนักศึกษาอีกหลายๆ คน ของสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ที่ได้รับทุนแบบนี้ เช่นกัน ซึ่งหากใครอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาประสบการณ์ของผู้ได้รับทุนบางคน ได้จาก ลิ้งนี้เลยค่ะ

เสี่ยวฟางต้นแบบเด็กดอยสู้ชีวิต และ PIM เติมเต็มชีวิตผม

มาแวะบ้านเสี่ยวฟาง และได้ฟังเสี่ยวฟางเล่าถึงเรื่องราวชีวิตการศึกษาของเสี่ยวฟางไปแล้ว ที่บ้านเสี่ยวฟาง ยังมีขนมต้อนรับพวกเราอีกด้วย นั่นก็คือ แมคคาเดเมีย ธัญญาพืช แสนอร่อย ที่ทำให้ เรานั้นยืนตรงนี้อยู่นานเลย

ส่วนอันนี้ก็คือ ขนมอืมมมมม จำชื่อไม่ได้แล้ว วิธีทานก็คือต้องเอาไปปิ้ง ให้สุก

ปิ้งแบบนี้ จนสุก แต่ระวังไหม้ น๊าาาาา

สำรวจบ้านเสี่ยวฟางเล็กน้อย ก็มาสะดุดกับตระกร้า เลี้ยงไก่ ซึ่งก็แปลกไปอีกแบบ เพราะเลี้ยงไก่ไข่กันในนี้ เลย ปกติเลี้ยงไก่ไข่จะเลี้ยงให้เล้าไก่ แต่ที่นี่ เลี้ยงกันในตะกร้าาาาา

จากบ้านเสี่ยวฟาง ก็แวะมาทานบะหมี่ยูนนานเจ้าดังกันสักหน่อย

และแล้วก็มาถึงเวลา ที่เรากับ CP ALL จะร่วมกันทำความดี เป็นจิตอาสา เลี้ยงน้ำ เลี้ยงขนม และทำกิจกรรม ร่วมกับเด็กๆ ที่โรงเรียนบ้านอรุโณทัย ซึ่งเป็นโรงเรียนที่นักเรียนส่วนมากจะพูดภาษาจีนกัน

พอรถของพวกเรามาถึง ก็เจอเด็กๆ นั่งกันอยู่ที่อัฒจรรย์สนามกีฬาของโรงเรียน เราจึงเข้าไปพูดคุยเล่นกับเด็กๆกันก่อน แต่ ภาษาที่น้องๆ เค้าพูดกันคือภาษาจีน เฮ้ยยย น้องพูดอะไรกัน พี่ฟังไม่รู้เรื่องงงงง แต่ไม่ใช่ว่าน้องเค้าจะพูดภาษาไทยไม่ได้นะ น้องๆ เค้าพูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้เหมือนเด็กไทยทั่วๆไป แต่พิเศษตรงที่ น้องๆเค้ามีความรู้ด้านภาษาจีนมาอยู่แล้ว

อยากบอกว่าพี่แอบอิจฉาเล็กน้อย น้องๆพูดภาษาจีนกันเก่งมากๆ ยืนฟังน้องๆเค้าคุยกัน นี่ คุยกันแต่ภาษาจีน ทำให้น้องๆที่โรงเรียนบ้านอรุโณทัย สามารถพูด ฟัง อ่านออก เขียนได้ ทั้งภาษาไทย และภาษาจีน นับว่าเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมในการส่งเสริมทางด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก เลย

นั่งคุยนั่งเล่นให้พี่ๆทำตัวเป็นเด็กๆ หลายๆคน ก็ดูเหมือนจะทำตัวกลมกลืน

สักพัก คุณครูก็ให้เข้าแถว เดินเข้าห้องประชุมจัดกิจกรรมกัน

พวกพี่ๆบางคน ก็ยังมีจิตใจรักความเป็นเด็กอยู่ แอบมาเล่นสนามเด็กเล่นของน้องๆ 555555555555

ได้เวลา พร้อมทำกิจกรรม

ของขวัญของแจก ของน้องๆ ว้าวววว น่ารักๆทั้งนั้นเลย

เตรียมน้ำมาให้เด็กๆได้ดื่มกัน เป็นน้ำส้มแสนอร่อย

นมช๊อคโกแลต

ขนมจีบ ซาลาเปา

ถุงผ้ารักโลก เอาไว้ให้น้องๆ ใส่ของกลับบ้าน

และแล้วก็เป็นเวลาอันเป็นมงคลที่จะเริ่มพิธี ก็มีน้องๆเด็กๆ มาแสดงเต้นให้ดูกันด้วยความน่ารัก

จากนั้นก็เป็นพิธีการต่างๆ ซึ่งทางผู้บริหารของ CPALL และ CP Retailink ได้มอบอุปกรณ์การศึกษา และอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนบ้านอรุโณทัย

จากนั้นก็เป็นการร่วมกิจกรรมแจกของเล่น และขนมให้กับเด็กๆ

นั่งดูเด็กๆเล่นเกมส์สนุกสนาน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แห่งความสุข

พี่ๆจิตอาสาบางส่วนก็ ก็ช่วยกันเตรียมขนม น้ำ นม ไอศครีม ต่างๆ เอาไว้แจกเด็กๆ

บรรยากาศการทำกิจกรรมที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เด็กๆดูมีความสุขจากการกินขนม และน้ำ

พี่ๆจิตอาสาที่น่ารัก ที่ได้มาร่วมทำความดีด้วยกันในครั้งนี้ ช่วยกันเตรียมขนมจีบซาลาเปาแจกเด็กๆ

เด็กๆ กำลังกิมไอศครีม และขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย

บรรยากาศการร่วมกิจกรรม และเล่นเกมส์ของพี่ๆจิตอาสาและเด็กๆ ดูบรรยากาศแล้ว กำลังสนุกเลย

น้องๆเค้าได้ของเล่นกัน แล้วก็เอามานั่งเล่นกันสนุกเลย

ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของเรา ที่ได้ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ รู้สึกอิ่มอก อิ่มใจ ที่ได้ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งของน้องๆเค้ามีความสุข เป็นการส่งต่อความสุขให้กับเด็กๆ ได้มีโอกาสอันดี มีช่วงเวลาที่ดี เสียงหัวและรอยยิ้มของเด็กๆ ทำให้เราประทับใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่า ถ้ามีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ ก็อยากที่จะทำอีก เพราะยิงให้ความสุข ก็เหมือนกับยิ่งได้รับความสุขกลับมา

ต้องขอขอบคุณ CP ALL ที่ได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมแบบนี้ขึ้นมา ซึ่งจริงๆแล้วทาง CP ALL ยังมีกิจกรรม เพื่อช่วยเหลือสังคม มากกว่านี้อีกหลายครั้ง ซึ่งกลุ่มจิตอาสาของ CP ALL ได้เริ่มต้นมาแล้วหลายปี โดยในปีนี้ได้ไปบริจาคอุปกรณ์การศึกษา และจัดกิจกรรม เพิ่มความสุขให้กับเด็กนักเรียนต่างจังหวัดห่างไกลมาแล้วหลายโรงเรียน ทั้งที่อุ้มผาง จังหวัดตาก และที่ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งสามารถเข้าไปชมกิจกรรมของ ชมรมจิตอาสา CP ALL ได้ที่ Fanpage https://www.facebook.com/JitArsaCPALL/

ออกจากโรงเรียนบ้านอรุโณทัยก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ พอขึ้นรถกลับก็บอกหลับตลอดทาง มาถึงร้านอาหาร บ้านสวนผัก ก็ตอนเกือบมืดๆ ร้านสวนผักเชียงใหม่ เป็นร้านอาหารบรรยากาศไทยๆ อาหารไทยๆ เป็นร้านที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่กันเลยทีเดียว

ปิดท้ายทริปด้วยภาพแห่งความประทับใจ ที่ได้ร่วมกัน แบ่งฝันปันสุข ให้กับผู้อื่น แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ความสุขที่ได้รับ และความสุขที่มอบให้กับคนอื่น ก็มากมาย ล้นหลามอิ่มเอิบในจิตใจ ขอบคุณทุกๆท่านที่ ผ่านมาอ่านมาแวะมาชม มากๆค่ะ